เกิดเหตุรุนแรงขึ้นอีกครั้งในรัฐ โคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อคนร้ายได้บุก กราดยิง ซุปเปอร์มาร์เก็ต จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต กราดยิงสหรัฐฯ – เมื่อวันที่ 23 มีนาคม สำนักข่าว CBS รายงานว่า มือปืนได้บุกกราดยิงซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่งในรัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีการระบุจำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตที่แน่ชัด แต่สำนักข่าวหลายแห่งรายงานตรงกันว่ามีผู้ได้เสียชีวิตมากกว่า 1 ศพ
โดยพยานในที่เกิดเหตุเล่าว่าพวกเขาได้ยิงเสียง “ปัง”
ดังขึ้นในร้านค้า ซึ่งในตอนแรกประชาชนคิดว่าเป็นเสียงคนทำของตก อย่างไรก็ตามลูกค้าและพนักงานในร้านต่างเริ่มหนีตายเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงดังกล่าวเป็นครั้งที่สาม
สำนักข่าว CBS ยังระบุอีกว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สวมกุญแจมือและควบคุมตัวชายคนหนึ่ง ซึ่งทางสำนักข่าวบรรยายว่าชายคนดังกล่าวไม่ได้สวมเสื้อและมีเลือดไหลออกจากบริเวณขาของเขา อย่างไรก็ดียังไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าชายคนนี้เป็นผู้ก่อเหตุหรือไม่ ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจออกมายืนยันว่าขณะนี้พวกเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว และจะไม่มีการก่อเหตุต่อเนื่องในชุมนุม ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้
เช่นเดียวกันกับ องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ออกมาแนะนำให้ทั่วโลกเดินหน้าฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาต่อไป พร้อมระบุว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบว่าวัคซีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการลิ่มเลือดอุดตัน
ประเทศใน ยุโรป กลับมาเดินหน้าฉีดวัคซีน แอสตราเซเนกา อีกครั้ง หลังจากที่ประเทศในกลุ่มสมาชิก EU ระงับการฉีดชั่วคราว
แอสตราเซเนกา – เมื่อวันที่ 19 มีนาคม สำนักข่าว BBC รายงานว่า องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป หรือ EMA ได้ตรวจสอบวัคซีนแอสตราเซเนกา หลังจากที่ 13 ประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปหยุดฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาชั่วคราว หลังพบว่ามีผู้รับวัคซีนดังกล่าวเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน
ทาง EMA ยืนยันว่าวัคซีนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอาการลิ่มเลือดอุดตัน พร้อมกล่าวอีกว่าวัคซีนชนิดนี้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ประโยชน์ในการป้องกันประชาชนจากโรคโควิด-19 มีมากกว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการฉีดแอสตราเซเนกา
ซึ่งทางการเยอรมนี, สเปน, ฝรั่งเศส และ อิตาลี ได้ออกมาประกาศว่าจะกลับมาเดินหน้าฉีดวัคซีนอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในบางประเทศ เช่น สวีเดน ได้ประกาศว่าจะจับดูสถานการณ์อีกสองสามวันเพื่อตัดสินใจอีกครั้ง โดยประเทศสมาชิกจะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะกลับมาฉีดวัคซีนต้านโควิดเมื่อใด
ก่อนหน้านี้ องค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ออกมาแนะนำให้ทั่วโลกเดินหน้าฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาต่อไป พร้อมระบุว่าจากการตรวจสอบเบื้องต้นไม่พบว่าวัคซีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการลิ่มเลือดอุดตัน
c‘ยิบรอลตาร์’ ฉีดวัคซีนโควิดกับประชากรผู้ใหญ่ทั้งหมดแล้ว
ทางการอังกฤษออกมาแสดงความยินดีกับ ยิบรอลตาร์ ที่กลายเป็นที่แรกของโลกที่ ฉีดวัคซีนโควิด กับผู้ใหญ่ทุกคนแล้ว เมื่อวันที่ 19 มีนาคม สำนักข่าว เดอะสแตนดาร์ด รายงานว่า นาย แมท แฮนค็อก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของประเทศอังกฤษได้เปิดเผยว่า ยิบรอลตาร์ ได้ฉีดวัคซีนต้านโควิดให้กับผู้ใหญ่ทั้งเกาะแล้ว ถือเป็นที่แรกของโลกที่ประสบความสำเร็จดังกล่าว
ซึ่ง รมว.สาธารณสุข อังกฤษ ได้กล่าวชื่นชมในความแข็งแกร่งของชาวยิบรอลตาร์ที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ พร้อมขอบคุณทางการยิบรอลตาร์ที่ได้ออกมากล่าวชื่นชมว่าการฉีดวัคซีนครั้งนี้ประสบความสำเร็จ เพราะความช่วยเหลือจากประเทศอังกฤษ
ยิบรอลตาร์ มีประชากรราวๆ 34,000 คน และมียอดผู้ป่วยสะสมโรคโควิด 4,263 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโควิดแล้ว 94 ศพ ขณะนี้ยังมีผู้ป่วยที่ยังรักษาตัวอยู่ 26 ราย ในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากประเทศ 10 ราย นอกจากนี้ยิบรอลตาร์ ไม่เคยพบผู้ป่วยโรคโควิดชนิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์แอฟริกาใต้และสายพันธุ์บราซิล
หญิงชรา เล่นงานคนร้ายที่ต่อยเข้าที่ตาซ้ายเธอ จนทำให้ คนร้ายนอนเปล และถูกหามตัวส่งโรงพยาบาล คาดอาจเป็นอาชญากรรมทางความเกลียดชัง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม สำนักข่าว CBS รายงานว่า หญิงชราเชื้อสายเอเชียวัย 76 ปีที่อาศัยอยู่ในนคร ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ใช้ไม้ฟาด คนร้ายที่ลงมือทำร้ายร่างกายเธอ ขณะที่เธอกำลังรอสัญญาณไฟจราจร จนทำให้คนร้ายถูกหามเปลส่งโรงพยาบาล
โดยหญิงชราเล่าว่า คนร้ายได้ต่อยเข้าที่ตาซ้ายของเธอ ทำให้เธอโต้ตอบคนร้ายด้วยการเตะและคว้าไม้มาฟาดเข้าใส่คนร้าย จนทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก ซึ่งเธอยืนยันว่าเธอไม่ได้เป็นฝ่ายยั่วยุหรือรู้จักกับผู้ก่อเหตุมาก่อน
ซึ่งหญิงวัย 76 ปีเล่าว่า เธออาศัยอยู่ในนครซานฟรานซิสโกมานานกว่า 26 ปี และเธอรู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก ขณะนี้ดวงตาข้างซ้ายของเธอมองไม่เห็น และเธอไม่สามารถทานอาหารได้ ซึ่งครอบครัวหวังว่าแผลกายและแผลใจจะรักษาตัวในเร็วๆนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ออกมายืนยันว่าเชื้อชาติของเหยื่อเป็นแรงจูงในการก่อเหตุครั้งนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้อาชญากรรมทางความเกลียดชัง โดยเฉพาะกับประชาชนที่มีเชื้อสายเอเชียเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 150
แนะนำ : ดูดวงไพ่ยิปซี | รีวิวที่พัก | รีวิวคาเฟ่ | วิธีลดน้ำหนัก | รีวิวอนิเมะ ญี่ปุ่น